
คุณลูกค้าวัย 55 ปี เดินเข้ามาที่ร้านพร้อมกับรอยยิ้ม แต่ก็บอกเราทันทีว่า… “ช่วงนี้มองอะไรไม่ค่อยชัดเลย ทั้งใกล้ทั้งไกล โดยเฉพาะเวลาใช้มือถือ กับตอนอ่านหนังสือนี่ ต้องเพ่งมาก ๆ ตาล้าเร็ว แถมยังรู้สึกแสบตาเวลาออกแดดอีกต่างหาก”
ฟังดูแล้วเหมือนเป็นอาการเล็ก ๆ ที่มากับวัย แต่เมื่อได้ตรวจสายตาอย่างละเอียด เราก็พบว่าปัญหาของลูกค้าไม่ใช่เรื่องเล็กเลย เพราะนอกจากค่าสายตาที่เปลี่ยนไปจากเดิมมาก โดยเฉพาะข้างซ้ายที่มีการเปลี่ยนทั้งกำลังสายตาและองศาเอียงแล้ว ยังมีเรื่อง “คุณภาพของน้ำตา” ที่เริ่มลดลงอย่างชัดเจนอีกด้วย
ก่อนหน้านี้ ลูกค้าใช้แว่นที่มีค่าสายตา
R: +2.25 -0.75 x47 VA 20/32
L: +1.25 -0.25 x150 VA 20/50
ซึ่งให้การมองเห็นที่ไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะข้างซ้ายที่เหลือแค่ 20/50 (ค่าปกติ20/20)เท่านั้น แต่หลังจากวัดใหม่ พบว่าค่าสายตาที่เหมาะสมคือ
R: +2.20 -0.50 x88 VA20/25+2
L: +2.28 -0.62 x85 VA 20/20

ซึ่งให้ความคมชัดได้ดีขึ้นชัดเจน โดยข้างซ้ายกลับมามองเห็นได้ถึงระดับ 20/20 เลยทีเดียว การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือ “องศาสายตาเอียง” ที่เปลี่ยนไปมาก การเปลี่ยนองศาเอียงนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เมื่ออายุมากขึ้น เพราะ กระจกตา (cornea) และเลนส์ตา (crystalline lens) มีการเปลี่ยนโครงสร้างตามวัย ถึงแม้กำลังสายตาเอียงไม่เปลี่ยนมาก แต่การเปลี่ยนองศาก็ส่งผลต่อความคมชัดได้ซึ่งอาจเป็นผล โดยเฉพาะในแว่นโปรเกรสซีฟที่ต้องการความแม่นยำสูงในส่วนของค่าสายตา
หลังจากนั้น เราทำการตรวจคุณภาพน้ำตาด้วย TBUT TEST (Tear Break-up Time) เป็นการตรวจเพื่อดูคุณภาพและความเสถียรของน้ำตาเป็นอย่างไร โดยการใช้ Fluorescein และจับเวลาดูว่าใช้เวลาเท่าไหร่ก่อนที่น้ำตาจะแตกตัว เพื่อดูว่าก่อนน้ำตาจะแตกตัว ใช้เวลานานแค่ไหน หากเกิน 10 วินาที ถือว่าปกติดี หากต่ำกว่า 10 วินาที บ่งบอกว่ามีอาการตาแห้ง แต่ในเคสนี้น้ำตาของคุณลูกค้าแตกตัวภายในเวลาไม่ถึง 5 วินาที ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับ บ่งบอกได้ว่ามีอาการ ตาแห้งที่ชัดเจน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ สู้แสงไม่ได้ และรู้สึกไม่สบายตา

เมื่อถึงขั้นตอนการเลือกเลนส์และกรอบแว่น สิ่งที่ลูกค้าเลือกนั้นก็บอกอะไรได้มาก…
ลูกค้าเลือกกรอบ Cartier – แว่นตาระดับไอคอน ที่ไม่ใช่แค่เครื่องมือช่วยการมองเห็น แต่เป็นเครื่องประดับที่สะท้อนรสนิยม
กรอบ Cartier ที่ลูกค้าเลือก เป็นรุ่นที่มีดีไซน์เรียบหรู คลาสสิก ไร้โลโก้ฉูดฉาด แต่กลับดูสง่างามทุกครั้งที่สวมใส่ เข้ากับบุคลิกและวัยได้อย่างลงตัว เราจึงยิ่งให้ความสำคัญกับ “เลนส์” ที่จะต้องไม่ด้อยไปกว่ากรอบแว่นที่เลือก
PARIS MIKI จึงแนะนำเลนส์โปรเกรสซีฟชนิดพิเศษ Rodenstock Impression B.I.G. NORM ColorMatic 3 ที่ถูกออกแบบให้เหมาะกับค่าสายตาและพฤติกรรมการมองเห็นของแต่ละคนอย่างแท้จริง โดยเรานำค่าจริงจากการวัดขณะสวมใส่จริงมาคำนวณร่วมด้วย เช่น มุมเอียงของหน้าแว่น (Pantoscopic Tilt Angle), ระยะห่างตากับเลนส์ (CVD), ความโค้งของหน้าแว่น (Face Form Angle) และระยะห่างระหว่างตา (PD) ซึ่งในเคสนี้ PD ของลูกค้าทั้งสองข้างไม่เท่ากัน ทำให้การออกแบบเลนส์แบบ “เฉพาะบุคคล” ยิ่งสำคัญ
เหตุผลที่ต้องแนะนำเลนส์ชนิดนี้
• ค่าสายตาบวกสูง → ถ้าไม่ปรับค่า parameter จะยิ่งทำให้เลนส์ให้ภาพไม่คมชัด
• การไม่ใช้เลนส์ที่คำนวณค่า individual จะทำให้ Progressive lens มี field of view แคบ, เจอ distortion ด้านข้างเยอะ, และกำลังเลนส์จริงที่ใช้งาน ไม่แม่นยำ
นอกจากนี้ เรายังแนะนำให้ลูกค้าเลือกเลนส์ที่สามารถ “เปลี่ยนสีตามUV” เพื่อช่วยลดแสงจ้าเมื่อต้องออกไปข้างนอกกลางแจ้ง ซึ่งนอกจากจะช่วยเรื่องความสบายตาแล้ว ยังลดโอกาสการเกิดอาการแสบตาและแพ้แสงอีกด้วย
ไม่นานหลังจากได้รับแว่นใหม่ คุณลูกค้ากลับมาพร้อมกับคำพูดที่ทำให้เรายิ้มออกเลยว่า
“อ่านไลน์ อ่านข่าว ดูมือถือได้สบายมากเลย ไม่ต้องเพ่งเหมือนแต่ก่อน แถมตอนออกไปข้างนอกก็ไม่ต้องหยีตาอีกแล้ว ใส่แล้วรู้สึกเบาสบายตาดีจริง ๆ”

สำหรับPARIS MIKIแล้ว คำพูดเหล่านี้คือรางวัลอันมีค่า เพราะการได้ช่วยให้ใครสักคนกลับมามองเห็นโลกได้ชัดเจนอีกครั้ง ไม่ใช่แค่เรื่องสายตา แต่คือการช่วยให้เขากลับไปใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจอีกครั้ง